ต้นสายแม่น้ำอเมซอนสู่บราซิล :

 

 

change your language


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


ในทริปนี้ผมจะพาทุกคนไปดูแหล่งน้ำสายแรกที่เข้ามาในประเทศบราซิล ซึ่งตั้งอยู่ในป่าอเมซอน โดยสถานที่นี้นั้นตั้งอยู่ระหว่างสามประเทศ อันได้แก่ โคลัมเบีย บราซิล และเปรู
ทริปนี้ผมอยู่ทั้งหมดเป็นเวลาสิบวัน ก็ไม่รู้ว่าอยู่ทำไมตั้งนานเหมือนกัน ตอนแรกกะจะไปพักผ่อนแถวๆแคริเบียนแต่คิดไปคิดมา
บ้านเราก็มีทะเลเยอะแล้วจะไปอีกทำไม 555 เลยตัดสินในไปที่นี้แทนอย่างน้อยก็ได้ไปเห็นแม่น้ำอะเมซอนเป็นๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าชาตินี้จะมีโอกาศกลับมาไหม

.

แผนที่สถานทีตั้ง


เอาเป็นว่ามาเกริ่นกันเลย แม่น้ำอเมซอนนั้นมีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาแอนดิส ในประเทศเปรู และไหลลงมาเรื่อยๆสู่มหาสมุทรแอตแลนติก โดยผ่านประเทศ เวเนซุเอล่า เอกวาดอร์ โคลัมเบีย โบลิเวีย และ บราซิล และแม่น้ำอเมซอนก็ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย
แม่น้ำนี้ได้ถูกคนพบและสำรวจในปี 1541 โดย ฟราซิสโก เดอ ออเรลลานา (Francisco De Orellana) บราซิลเรียกชื่อแม่น้ำอเมซอนว่า ริโอ อมาซอนนาส (Rio Amazonas)
บริเวณชายแดนสามประเทศที่ติดกันนี้ได้มีประวัติกันยาวนาน ปัจจุบันนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาสามารถมาได้ 2 ทางเท่านั้นโดยทางเรือและทางเครื่องบินโดยไม่จำเป็นต้องข้อวีซ่าให้ยุ่งยากในการเดินข้ามชายแดนเพราะไม่มีด่านตรวจ ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ถือพาสปอร์ตไทยจำเป็นต้องขอวีซ่าในกรณีต้องการเดินทางไปโคลัมเบีย แต่ในบริเวณลุ่มนี้ไม่จำเป็นต้องใช้

 

 

ในทริปนี้เราจะพูดเรื่องฝั่งบราซิลมากว่านิดนึงเพราะเนื่องจากสามชายแดนนี้ถึงแม้จะติดกันแต่วัฒนธรรมนั้นช่างต่างกัน โดยทางฝั่งโคลัมเบียและเปรูจะพูดสเปน ส่วนฝั่งบราซิลนั้นจะพุดโปรตรุเกศ
ส่วนวัฒนธรรมดนตรีก็ไม่เหมือนกันด้วย

เริ่มทริปนี้จากการนั่งเครื่องจาก โบโกต้าโคลัมเบีย มาลงที่สนามบินเลทิเซีย(Leticia)
โดนเก็บค่านักท่องเที่ยวไปเกือบห้าร้อยบาทอารมณ์เสียมาก...
สิ่งที่จำเป็นในการเดินทางมานั้นคือต้องฉีดวัคซีนป้องกันไข้เหลือง โดยจะอยู่ได้ถึง 10 ปี
ถ้าไม่ได้ไปเดินตะลุยป่าก็ไม่จำเป็นต้องพกอะไรมาเยอะ แต่พวกยากันยุงนี้สำคัญมากๆ
ยุงบ้านเขาก็ตัวเท่าเราแหละ แต่ถ้าไปอยู่ในป่าลึกยุงเขาก็ตัวเท่าช้าง 5555 ฉะนั้นระวังให้ดี

วัคซีนที่กล่าวถึง สามารถทำที่ไทยได้ แต่ทำจากไทยมาก่อนจะดีมาก

การมาที่นี้ต้องอย่าลืมเช็คสภาพอากาศก่อนมา บริเวณป่าอเมซอนจะถูกน้ำท่วมเป็นประจำ
ถ้าใครเคยได้ยินเรื่องปลาโลมาสีชมพู ในแถบนี้ก็มีแต่จะอยู่ในฝั่งของโคลัมเบียซึ่งต้องนั่งเรือเดินทางไป
ไม่กี่ชั่วโมง โดยแถบอเมซอนนั้นยังเป็นที่อุดมสมบรูณ์ไม่ค่อยได้ถูกรุกรานมากนัก แต่ไม่กี่ปีมาก่อนนี้มีการตัดไม่ทำลายป่าจำนวนมาก หลังจากที่รัฐบาลเข้ามาควบคุมการตัดไม่ทำลายป่ารวมถึงอาชญากรรมเช่นมาเฟียหรือแก๊งต่างๆนั้นก็ถยอยหายไป

 

 

ผมมาถึงที่นี้เป็นเวลาบ่ายกว่าๆโดยไม่ได้นั่งรถเข้าไปในเมืองเพราะว่าอะไรเหรอ? ง่ายๆเลยคือไม่มีตังค์
เลยเดินจากสนามบินอย่างทรหด (ทีเห็นในรูปหลังคาสีฟ้า คือสนามบินที่ผมลงมา)
ทางที่เดินนั้นมีลักษณะค่อนข้างแฉะมากเพราะเนื่องจากฝนที่ตกไม่กี่ชั่วโมงก่อน
สถานที่แรกที่เดินเจอเลยนั้นก็คือโบถส์ซึ่งตอนนี้ถูกทาสีเป็นสีครีมจากแต่ก่อนสีขาว

ระยะเวลาที่ผมเดินนั้นประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าๆเข้ามา ขอบอกได้เลยว่าเหนื่อยมากๆ
กระเป๋าหนักมากแต่เนื่องจากต้องประหยัดมากๆ เลยพยายามที่จะเดินอย่างเดียว
จะบอกว่าสนุกไหมก็สนุกดี

 

หลังจากที่เดินหาที่พักได้แล้ว ก็วางกระเป๋าทันทีพร้อมออกไปเดินสำรวจต่อ
เนื่องจากที่พักที่ผมพักที่แรกนี้ขอบอกได้เลยว่า เน่ามาก แถมแพงด้วยเลยตัดสินใจ
ออกไปหาที่พักที่อื่นเพื่อจะย้ายไปอีกวัน

ทาบาทิงก้า (Tabatinga) นั้นเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสามเมืองชายแดนนี้ มีประชากรราวๆ 5 หมื่นกว่าคน
ส่วนทางเลทิเซีย(Leticia) นั้นมีราวๆ 3 หมื่นกว่าๆ ไม่แน่ใจว่าสถิติไหนถูกแต่ก็เอาตามป้ายที่เขาเขียนบอกแล้วกัน

เลทิเซีย (Leticia) ได้มีการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวมากกว่าและดูสะอาดสะอ้านกว่าทางฝั่งบราซิลและเปรู ถ้าจะไปพักที่ ทาบาทิงก้า(Tabatinga) อาจหาที่พักลำบากกว่า แถมราคานั้นสูงกว่าด้วย อีกอย่างคือมันดูน่ากลัวมากกว่าฝั่งเลทิเซียเพราะถนนหนทางนั้นยังไม่พัฒนามากเท่าไหร่ แต่เที่ยวกลางคืนนั้นทางฝั่งบราซิลก็เป็นอะไรที่น่าสนใจเช่นกัน ฉะนั้นต้องเลือกตามความชอบ ว่าอยากไปเต้นแซมบ้า หรือซัลซากัน

 

สรุปเรามาสำรวจกันดีกว่าเนื่องจากผมอยู่เที่ยวที่นี้หลายวัน เลยจะโชว์บรรยากาศทางฝั่งเลทิเซี(Leticia) ฝั่งโคลัมเบียให้ดูกันก่อนครับ


ทางเลทิเซียนั้นจะคึกคักตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน มีกิจกรรมให้ทำไม่มาก
ถ้าต้องการว่ายน้ำมีอยู่สองวิธีคือ ว่ายที่โรงแรมกับลงไปว่ายในแม่น้ำอเมซอน(อ้าวไม่ได้กวนนะเห็นเด็กๆว่ายกันเต็มเลย) ส่วนกิจกรรมเหนือจากนั้นก็มีไม่มาก เอาจริงๆคือมันไม่มีอะไรทำเลยนั้นแหละ แต่มาเที่ยวพักผ่อนหนีโลกในเมืองที่นี้ก็อาจจะเป็นคำตอบที่ใกล้เคียงก็เป็นไปได้ ส่วนการเดินทางไปรอบๆเมืองพวกนี้ถ้าไม่จำเป็นอย่านั่งรถเลย มันมีมอไชค์รับจ้างด้วยแต่แบบแพงนะ ฉะนั้นเดินไปจะสนุกกว่าเชื่อผม ส่วนการจับจ่ายใช้สอยที่นี้ ต้องใช้เงินเปโซโคลัมเบียเท่านั้น บางที่มีรับเงินบราซิลแต่เร็ตไม่ดี

ส่วนอุณหภูมิที่นี้ก็ร้อนตับแตกคล้ายๆไทย ถ้าไม่เปิดพัดลมก็อยู่ไม่ได้นะ ช่วงที่ผมไปนี้ 30-33 องศาเชียวนะ

 


และต่อไปผมก็จะพามาดูฝั่งของบราซิลกัน ผมมีความรู้สึกว่าจะได้ทำกิจกรรมที่นี้มากกว่า

อย่างที่ทราบกัน สัตว์ที่เป็นที่ขึ้นชื่อของอเมซอนนั้นคงจะไม่พ้น งูอนาคอนดา ซึ่งผมได้ไปถ่ายรูปกับมันดู ไม่ได้ถ่ายอย่างเดียว มีโอกาศได้จับมันด้วยเป็นประสบการ์ณที่สนุกจริงๆ
ส่วนปิรันย่านั้นช่างโชคร้ายที่ทริปนี้ไม่ได้หามาให้ดู เอาเป็นว่าลองไปหาดูตามจตุจักรแล้วกัน แต่ปลาปิรันย่าเป็นปลาต้องห้ามในหลายๆประเทศ การนำเข้ามาในไทย ผิดกฏหมายนะครับ แต่ก็ยังเห็นอยู่ในจตุจักร

จริงๆในป่าอเมซอนนี้มีเรื่องเล่าที่น่ากลัวมากมาย เช่นปลาโลมาสีชมพูแปลงร่างมาเป็นหนุ่มรูปงามหลอกฆ่าคนแต่ด้วยปัจจุบันนั้นความเชื่อนั้นก็เริ่มหายไป อาจจะเป็นแค่กุศโลบายเพื่อการอนุรักษ์สัตว์เหล่านี้ก็เป็นไปได้

ฝั่งบราซิล


ยังไม่ทันจะเดินเข้าทาบาทิงก้า (Tabatinga) กลิ่นความเป็นบราซิลนั้นก็ตลบอบอวนเข้ามาทันใด
ถึงแม้เมืองจะอยู่ติดกันแต่ที่นี้คนไม่พูดสเปนกันและวัฒนธรรมนั้นก็มีเป็นของตัวเอง
เดินไปตามท้องถนนนั้นก็จะได้ยินแต่เพลงภาษาโปรตุรเกศ
จะรู้ว่าถึงที่นี้ได้นั้นดูไม่ยาก เพราะภาพฟุตบอลนั้นติดอยู่เกลื่อนรวมทั้งกำแพงและสนามฟุตบอลขนาดย่อมที่มีให้เห็น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมคนที่นี้ถึงมีนักฟุตบอลเก่งๆกัน ขนาดในป่าในเขาก็เล่นกันแบบจริงจัง ที่ฟังๆคนพูดมาเขาบอกว่ามีการแข่งคัดเลือกต่างๆตามเมืองกันด้วย

 

ดูไปดูมาก็ไม่ต่างจากชนบทบ้านเรา แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือเขาไม่พูดภาษาเรานั้นเอง
เนื่องจากผมไม่ค่อยรู้จักอาหารอะไรที่นี้เลยจิ้มชี้เอาอย่างเดียว

 

ได้มีโอกาศได้ลิ้มรสเบียร์ที่นี้ด้วย รสชาตินุ่มดี

 

 

เครื่องบิน...

 

 

พามาดูสัตว์ต่อกันเลยที่นี้ ที่นี้จะเป็นคล้ายกับค่ายทหารสักอย่างโดยจะมีสัตว์ต่างๆที่เขาเลี้ยงไว้
แนวๆสวนสัตว์แต่ดูๆแล้วก็ไม่ใช้แต่ใกล้เคียง อยากจะบอกว่าคนดูแลใจดีมากเพราะว่าเขาเปิดให้เราเข้าเกือบทุกกรง แต่ผมเข้าแค่บางกรงเท่านั้น

 


และนี้เลยยย มาถึงช่วงระทึกใจกัน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้สัมพัสเจ้าตัวนี้ น่าร๊ากกกกก อะ

 

 

มันก็คืออนาคอนด้านี้เองงง

ขอบอกเลยว่าเป็นครั้งแรกที่ได้สัมพัสมัน มีความรู้สึกเหมือนจับไก่ที่เขาถอนขนมาหมดแล้ว นิ่มๆ
เป็นประสบการ์ณในชีวิตที่หาที่ไหนไม่ได้จริงๆ นี้ถ้าไม่เกรงใจนะจะจูบปากถ่ายรูปให้ดู 55555

หลังจากนั้นก็มานั่งพักเหนื่อยกันสักพัก

 

ฟุตบอลมันอยู่ในสายเลือดจริงๆคนที่นี้ ......

 

 

ต่อจากนี้ผมจะพามาดูย่านที่คึกคักๆริมแม่น้ำ ตรงนี้จะมีตลาดสดและสถานที่จอดเรือ
สำหรับใครที่ต้องการจะไปต่อที่อื่นๆนั้น จุดนี้ก็สามารถเดินทางโดยเรือหางยาวไปต่อได้
บริเวณนี้จะเป็นบริเวณที่คนมาพบปะกัน ดูคึกครึ้นไม่เบา

 

โดนแดดแผดเผามาทั้งวัน จริงๆจะบอกว่าทั้งทริปเพราะมันร้อนมากๆ เดินตัวดำกันทีเดียว

มาเล่าประวัติที่นี้ย่อๆกันต่อ สถานที่นี้นั้นได้เป็นเมืองหน้าด่านของโปรตุรเกศมาก่อนโดยถูกค้นพบในศตวรรษที่ 18 กรณีดินแดนสามแผ่นดินนี้ได้มีข้อพิพากและสงครามกันเล็กๆน้อยโดยเฉพาะฝั่งโคลัมเบียและเปรูในการอ้างสิทธิเหนือดินแดน ความขัดแย้งนั้นก็ได้จบลงเมื่อการเจรจากัน จนปัจจุบันนี้ก็เป็นอย่างที่เห็น มีความร่วมมือกันในดินแดนลุ่มแม่น้ำอเมซอนนี้

จบเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยไป ตอนนี้ผมก็จะพาไปพักกันก่อนโดยจะพาไปอีกที่คือเกาะซันต้าโรซ่า (Santa rosa) เป็นเกาะของประเทศเปรูโดยผมจะนั่งเรือหางยาวไป ใช้ระยะเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง บริเวณเกาะนี้เคยถูกน้ำท่วมมาด้วยนะจากที่เห็นโดยบ้านเรือนผู้คนนั้นจะมีลักษณะยกพื้นสูงคล้ายๆต่างจังหวัดเรา แต่จะมีอะไรน่าสนใจอีกลองติดตามอ่านต่อด้านล่าง

^^^^ รูปด้านบน เพื่อนๆที่เจอระหว่างพักอยู่ที่อเมซอน ปัจจุบันยังติดต่อกันอยู่ การท่องเที่ยวก็ดีอย่างนี้แหละครับ ได้สร้างเพื่อนใหม่

เตรียมพร้อมก่อนออกเดินทางไปที่เกาะซันตาโรซ่า (santa rosa)

เกาะซันต้าโรซ่านี้เป็นเกาะเล็กๆสามารถเดินไปรอบเกาะได้แต่ก็ไม่ถูกที่เพราะบางที่ยังเป็นป่าเป็นหญ้าขึ้นอยู่ถ้าอยากเดินต้องหาบูทมาใส่ ที่เกาะนี้สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการนั่งเรือต่อเข้าเปรูนั้นต้องมาstamp พาสปอร์ตที่นี้ก่อนเข้าไปในเปรู โดยเมืองอเมซอนที่่่สำคัญนี้มีชื่อว่า อิกิโตส (iquitos) ใช้ระยะเวลาเดินทางโดยเรือธรรมดาประมาณ 2-3วัน ที่นี้ก็เปิดที่หนึ่งที่น่าเที่ยวเช่นกัน

 

และเราก็มาเริ่มเดินทางกันโดยเรือหางยาว
ระหว่างเดินทางบนเรือนั้น จากจุดนี้เราจะสามารถเห็นแม่น้ำอเมซอนอันกว้างใหญ่ ซึ่งจะเห็นต้นน้ำที่เข้ามาในประเทศบราซิลจากที่นี้ เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก ไม่เคยเห็นมาก่อน บางคนก็มีพูดว่ามันก็ไม่ต่างอะไรจากแม่น้ำโขงนิ จริงๆแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรมากหรอกครับ แต่มันแค่อยู่ในบราซิลและชื่อว่าแม่น้ำอเมซอนเท่านั้นเอง และเพราะเหตุนี้ก็เลยอยากมาดู มาเห็นด้วยตาตัวเองครั้งหนึ่งในชีวิตก็ยังดี อิอิอิ

 

 

เราจะเริ่มเห็นเป็นทีละนิดว่าเราใกล้ถึงฝั่งเปรูทุกที ดูได้จากร้านลอยน้ำและธงที่ปักติดไว้อย่างชัดเจน

 

จากรูปตอนนี้เราก็ใกล้เทียบท่าแล้ว

 

สภาพบนเกาะ บ้านเรือนบางหลังก็ยกพื้นสูงเพราะป้องกันน้ำท่วม

 

 

วิวบรรยากาศสวยๆเหมาะกับนั่งจิบเบียร์เย็นๆ

 

เห็นรุปภาพโฆษณามาชู ปิชูแล้วเสียดายที่ไม่ได้ไป ถ้าไม่โดนโจรกรรมก่อนนะป่านนี้คงมีภาพสวยมาฝากกันอีกแน่ๆ

 

 

 

 

 

และทริปก็จบลงอย่างสวยงาม ถึงแม้ทริปนี้จะไม่ได้อะไรมากมาย

แต่ก็ถือเป็นทริปที่ได้สร้างเพื่อนมากมายทั้งเพื่อนที่มาพักที่พักเดียวกันและระหว่างทาง การเดินทางนี้ดีจริงๆให้อะไรเรามากมาย

หวังว่าโอกาศหน้าคงจะได้ไปประเทศที่เหลืออีกทั้งอาเจนติน่า ชิลิ โบลิเวีย และโดยเฉพาะเมืองหลงของบราซิล แต่คาดว่าคงต้องเก็บตังค์อีกนานกว่าจะได้มาอีก แต่ยังไงก็สัญญาว่าจะต้องมาให้ได้ สำหรับทริปนี้ก็จบแค่นี้พร้อมกับรูปพระอาทิตย์ตกดินที่ทาบาทิงก้ากัน ....

 

 

ทริบในอเมซอน

 

 

คำแนะนำเพื่อความปลอดภัย

icon.gif (941 bytes)  1. อย่ามีปัญหากับใคร นี้เป็นกฏข้อแรกที่ควรจะต้องทำเพราะถ้าไม่รู้จักเขาดี เผลอระวังจะโดนยิง

icon.gif (941 bytes)  2. อย่าไปยุ่งกับผู้หญิงสุ่มสี่สุ่มหา ถ้าพวกนี้มีแฟนแล้วหรือมีพวกแฟนเป็นคนค้ายา อาจไม่ปลอดภัยกับตัวคุณ

icon.gif (941 bytes)  3. อย่าพัวพันกับสิ่งเสพติด เพราะเมิงนี้เป็นเมืองเล็ก ถ้าเกิดโดนจับนี้แย่นะครับ

icon.gif (941 bytes)  4. อย่าออกจากบ้านดึก ถ้าออกกลางคืนควรมีเพื่อนไปด้วย

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

 

 

 





https://www.facebook.com/TheAokto?ref=hl

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

Flag Counter